ตรวจรถก่อนขับทางไกล
ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวหลายคนมักเดินทางไกลด้วยระบบขนส่งต่างๆ เช่น เครื่องบิน รถไฟ รถบัส และรถส่วนตัว ซึ่งอย่างหลังมักเป็นทางเลือกที่หลายคนชอบ เพราะสะดวกสบายที่สุด แต่ก็ต้องแบกรับภาระในการขับด้วยตนเองพร้อมรับผิดชอบผู้ร่วมเดินทางไปกับเรา การเตรียมความพร้อมก่อนขับทางไกลมักเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมากล่าวถึงผ่านสื่อต่างๆ บ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเพราะทั้งรถและคนมักมีความพร้อมไม่เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะการขับรถเที่ยวทางไกลในช่วงเทศกาลวันหยุดต่างๆ ซึ่งมักเจอการจราจรติดขัดและการขับบนเส้นทางอันไม่คุ้นเคยบ่อย ทีมงานเช็คราคา.คอม นำเสนอบทความ "ตรวจรถก่อนขับทางไกล" เพื่อให้ผู้ขับได้ตรวจเช็คและเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาและลดอุบัติเหตุระหว่างทางได้ โดยมี 10 จุดต้องเช็ครถก่อนเดินทางตามหัวข้อดังนี้
1. เช็ครอบตัวรถ
ก่อนขับรถออกจากบ้าน ควรเดินสำรวจรอบตัวรถ ดูว่ามีสิ่งผิดปกติไปจากเดิมไหม โดยให้สตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดไฟส่องสว่าง เพื่อฟังเสียงการทำงานว่าปกติไหม ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ มาแทรก เพราะถ้าวัสดุอย่าง สายพาน, รอก หรือน๊อตบางตัวเสื่อมสภาพ หรือหลุดหลวมคลอน ก็มักมีเสียงรบกวนออกมาให้ได้ยิน ส่วนไฟให้เดินดูรอบว่าติดทุกดวง หลังจากเดินดูรอบรถแล้ว ลองถอยรถจากจุดจอด แล้วลงมาดูที่พื้นว่ามีคราบน้ำมันเปื้อนไหม ถ้ามีก็ต้องรีบดำเนินการแก้ไขต่อไป
2. เช็คล้อและยาง
ควรหมั่นตรวจแรงดันลมให้เหมาะสมตามขนาดยางและการใช้งานเสมอ โดยอาจตรวจเองโดยใช้เกจวัดแบบดิจิตอลที่มีความเชื่อถือได้มากกว่าเป็นประจำ ทำให้มีโอกาสเจอความผิดปกติในล้อใดล้อหนึ่งได้เอง ส่วนการเติมลมแนะนำวิธีง่ายๆ คือ เติมที่ปั๊มน้ำมันที่มีมาตราฐานสูง หลายปั๊มเริ่มมีเครื่องเติมลมดิจิตอลอัตโนมัติ เพียงแค่กดปุ่มใส่ค่าแรงดันลมที่ต้องการ แล้วเติมได้เลย ระบบของเครื่องจะเติมจนถึงค่าที่กดใส่ไว้ จากนั้นก็จะตัดการทำงานอัตโนมัติ
นอกจากนี้ควรดูสภาพเนื้อยางทั้งบริเวณด้านหน้าและแก้มว่าคงสภาพปกติอยู่และยืดหยุ่นดีอยู่ไหม โดยใช้นิ้วหรือเล็บกดเนื้อยางว่ายังยืดหยุ่นได้ไหม และถ้าพบว่ายางด้านไหนเริ่มมีเสียงดังรบกวนมาก อาจลองใช้มือลูบหน้ายางดูความกลม ถ้าไม่สะดุดกับส่วนนูนบวม ก็นับว่ายังพอวางใจได้ ส่วนเรื่องอายุการใช้งานแม้ยางทุกเส้นมีระบุ สัปดาห์-ปี ที่ผลิต แต่ควรเริ่มนับอายุการใช้งานจริง ตามวันเริ่มต้นใช้
การขับทางไกลนอกจากตรวจสภาพยางทั้ง 4 ล้อแล้ว ด้านยางอะไหล่ก็ต้องเช็คแรงดันลมให้มีพร้อมใช้งาน โดยอาจเติมไว้ให้มากกว่าค่าปกติประมาณ 5 ปอนด์ นอกจากนี้ควรตรวจชุดอุปกรณ์เปลี่ยนล้ออะไหล่ว่าอยู่ครบและพร้อมใช้งาน ถ้าเป็นไปได้ควรซื้อน้ำยากันรั่วติดรถไว้ เป็นทางเลือกเพิ่ม เพราะบางครั้งการขับทางไกล อาจต้องใช้เส้นทางเปลี่ยวหรือไม่มีปั๊มบริการ
3. เช็คระบบหล่อเย็น
ตรวจระดับน้ำในถังพักแยกจากหม้อน้ำ ขณะที่เครื่องเย็นหรือช่วงเช้าก่อนสตาร์ทรถ เปิดฝาหม้อน้ำตรวจดูว่าสภาพยังปกติดีหรือไม่ ปกติฝาหม้อน้ำในรถรุ่นใหม่ๆ มักทนทานและใช้กันลืม เมื่อเปิดฝาแล้วให้สังเหตุสีน้ำในแก้มบนหม้อน้ำว่าไม่มีเป็นสีสนิมมากจนเกินไป นอกจากนี้ควรตรวจดูตามข้อต่อและท่อทางเดินน้ำว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ โดยเฉพาะรถที่ติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแก๊สที่ต้องมีหม้อต้มและท่อทางเดินน้ำเพิ่ม หากพบความผิดสังเกตุควรให้ช่างผู้ชำนาญแก้ไขโดยเร็ว
4. เช็คน้ำกลั่นแบตเตอรี่
ถ้าใช้แบตเตอรี่แบบทั่วไป หมั่นตรวจระดับน้ำกลั่นเป็นประจำทุกเดือน และควรเติมให้อยู่ในเกณฑ์ระหว่างบน-ล่าง ไม่มากหรือน้อยเกินไป ส่วนประเภทกึ่งแห้งก็ควรเช็คระดับน้ำเช่นกัน แม้มีคำว่า matainance free เว้นแต่รุ่นที่ไม่มีช่องเติมน้ำ ก็ควรตรวจอายุการใช้งานและสังเกตุอาการเวลาสตาร์ทรถเสมอ แบตเตอรี่แห้งทั่วไปหลายรุ่นมักมีตาแมวหรือเลนส์ใสกลมบอกสถานะของไฟในแบตเตอรี่ เพื่อสะดวกในการตรวจประสิทธิภาพการเก็บไฟ ถ้าพบว่าการเก็บประจุไฟเริ่มน้อยลง หรือมีอายุเกิน 36 เดือน ควรให้ร้านแบตเตอรี่ตรวจประสิทธิภาพการเก็บไฟก่อนเดินทาง
5. เช็คน้ำมันเบรกหรือคลัตช์
การตรวจระดับน้ำมันเบรกหรือคลัตช์ ให้สังเกตุระดับน้ำมันต้องอยู่ในเกณฑ์ระหว่างขีด MAX กับ MIN ถ้าต้องเติม ควรใช้น้ำมันเบรกให้ตรงเกรด โดยสังเกตุจากฝาปิดด้านบนหรือในคู่มือรถ ส่วนการถ่ายน้ำมันเบรกทั้งระบบมักทำกันหลังหน้าฝน เพราะความชื้นในอากาศมักส่งผลต่อคุณภาพของน้ำมันเบรก
6. เช็คน้ำมันเครื่อง
การเช็คระดับน้ำมันเครื่องควรทำบนพื้นราบ และเครื่องยนต์ไม่ร้อนเกินไป โดยให้ดึงก้านวัดตามรูป แล้วเช็ดด้วยผ้าสะอาดก่อนเสียบกลับ ทิ้งไว้ราว 3 นาที จึงดึงก้านออกเพื่อดูระดับน้ำมันว่าขีดอยู่ระหว่าง MAX-MIN หรือไม่ พร้อมทดสอบความหนืดของตัวน้ำมันเครื่องฯ ด้วยว่ายังข้นเพียงพอ (อาจต้องใช้สองนิ้วสัมผัสดูว่ายึดติดนิ้วแค่ไหน)
7. เช็คน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์
รถรุ่นใหม่ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์มักผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นการลดทอนน้ำหนักอันไม่จำเป็น และการดูแลที่ง่ายกว่าเดิม แต่รถเก่าส่วนใหญ่และรถปิคอัพหลายรุ่นใช้พวงมาลัยพาวเวอร์ ผ่อนแรงด้วยระบบไฮดรอลิค จึงควรตรวจสอบระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ พร้อมอาการรั่วซึมด้วย
8. ระบบปรับอากาศ
รถรุ่นใหม่มักมีฟิลเตอร์แอร์ให้มาด้วย เพื่อช่วยกรองสิ่งสกปรกได้ดีกว่า การล้างแอร์เป็นประจำทุกปีเป็นการป้องกันอาการแอร์ไม่เย็นได้ดีกว่า และสามารถตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบได้ดีเช่นกัน หลายคนมักมองข้าม รอจนระบบมีปัญหา แอร์ไม่เย็น จึงค่อยแก้ไข ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง การดูแลก็ไม่ต่างกับแอร์บ้านมากนักเพราะต้องล้างเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นก็กินไฟและพลังงาน การล้างตู้แอร์รถปัจจุบันแบ่งเป็น ถอดคอนโซลกับไม่ถอด อย่างแรกมีราคาถูกกว่า และมักโฆษณาว่าคอนโซลไม่ช้ำ นั่นไม่ถูกต้องทั้งหมด การถอดมาล้างเต็มระบบย่อมดีกว่า สะอาดกว่า ได้ผลที่ชัดเจนกว่า แม้จ่ายแพงกว่า แต่ระบบแอร์เป็นส่วนสำคัญของรถและมีผลกับผู้ใช้รถมาก เพราะบ้านเราอากาศร้อนเกือบตลอดปีและรถมักติดมากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล ดังนั้นการลงทุนล้างเต็มระบบน่าเป็นทางเลือกที่ดีและคุ้มค่ากว่า แนะนำควรดำเนินการล้างแอร์เต็มระบบก่อนขับทางไกลในช่วงหน้าร้อนเป็นอย่างยิ่ง
9. เช็คระบบไฟฟ้า และท่อยางทางเดินน้ำมัน
ตรวจสอบไฟหน้าสูง-ต่ำ, ไฟหรี่/ไฟเลี้ยวหน้า-หลัง, ไฟถอยหลัง, ไฟตัดหมอกหน้า-หลัง(ถ้ามี) และไฟส่องป้ายทะเบียนหลัง ว่าทำงานติดครบทุกดวง พร้อมเช็คสัญญาณไฟเตือนบนหน้าปัดว่ามีรูปอะไรติดค้างหลังสตาร์ทหรือเปล่า
Comments